อยากมีจักรยานสักคัน ต้องทำยังไง
อย่างแรกคือต้องถามใจเราเองก่อนว่า อยากได้เพราะอะไรแล้วจะเอามันไปทำอะไร ซึ่ง
ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการตัดสินใจ เพราะจักรยานเสือภูเขาไม่สมควรจะถูกมองว่า
มันเป็นเพียง"ยานพาหนะ" เพราะถ้าคิดว่าจะซื้อมาเป็นแค่ยานพาหนะแล้ว ด้วยสนนราคา
ค่าตัวของมันจัดได้ว่าไม่คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าถ้าจะซื้อมาจ่ายกับข้าว หรือซื้อก๋วยเตี๋ยว
ปากซอย หากจะไหว้วานเอาจากจักรยานเฟสสันราคา 2 - 3 พันบาทก็คงจะเกินพอแล้ว ทั้งนี้
ทั้งนั้นด้วยราคาค่าตัวหลักหมื่นแล้ว เสือภูเขาควรจะถูกมองว่าเป็น"เครื่องออกกำลังกาย" หรือ
"เครื่องกีฬา" จะเหมาะสมกว่า
คำว่าเครื่องออกกำลังกายนั้นคงมีความหมาย
ชัดเจนในตัวของมันอยู่แล้ว โดยขณะที่เครื่องกีฬา
นั้น ย่อมหมายถึงว่าเราสามารถนำมันไปใช้ในการ
แข่งขันได้อย่างไม่เสียเปรียบใคร ซึ่งสื่อความหมาย
ง่ายๆโดยตัวของมันเองว่า ประสิทธิภาพของอุปกรณ์
ต่างๆโดยรวม จะต้องสูงกว่าจักรยานในระดับเครื่อง
ออกกำลังกายอย่างแน่นอน
|
|
การที่ต้องจัดกลุ่มของเสือภูเขาเป็น 2 ระดับนั้น ก็เพราะประสิทธิภาพของมันแตกต่าง กันพอสมควร คุณจะต้องคิดเองว่าจะซื้อมันมาทำอะไร ถ้าคิดว่าจะเอามันมาเป็นแค่เครื่องมือ ออกกำลังกาย สำหรับวงเงินไม่เกิน15,000บาท ก็คงเพียงพอแล้วสำหรับวัตถุประสงค์ของคุณ จักรยานในวงเงินระดับนี้จะให้อุปกรณ์ในระดับพื้นฐาน อาทิเช่น เกียร์จะเป็น 21-24 เกียร์ อาจจะไม่มีระบบรองรับการสั่นสะเทือน (shock absorber หรือ suspension) ซึ่งบ้านเรา นิยมเรียกกันผิดๆติดปากว่า"โช้คอัพ" โดยจะให้ตะเกียบแข็งมา ในรุ่นที่สูงขึ้นมาอีกนิดก็อาจ จะให้เฉพาะด้านหน้า ( front suspension bike ) ซึ่งจะเป็นชอครุ่นล่างๆ เมื่อนำจักรยาน ทั้งคันมาชั่งน้ำหนักรวม ก็อาจจะป้วนเปี้ยนแถวๆ13-14 กก.หรืออาจจะมากกว่านั้นเสียด้วย ซ้ำ แต่ก็เพียงพอสำหรับการจะนำมาใช้ออกกำลังกายตามวัตถุประสงค์ได้เป็นอย่างดี คราวนี้ เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเสือภูเขาที่ผมจัดให้อยู่ในระดับเครื่องกีฬาแล้ว คุณก็จะพบว่า มันมี ความแตกต่างกันโดยรวมค่อนข้างมากหรือถึงขั้นที่เรียกว่าแตกต่างกันมาก นับตั้งแต่น้ำหนัก ที่เบากว่า จุดหมุนที่ลื่นกว่า ระบบเกียร์ที่ปรับเปลี่ยนได้ราบรื่นกว่า และอะไรอีกหลายอย่างที่ ดีกว่า และแน่นอนสนนราคาย่อมจะสูงกว่า แล้วยังแบ่งระดับได้อีกหลายระดับ ในราคาตั้งแต่ 2หมื่นกว่าไปยันหลักแสน ระบบกันสะเทือนด้านหน้าที่ดีขึ้นหรืออาจจะเพิ่มเป็นทั้งหน้าและ หลัง ( full suspension bike ) หากเปรียบเทียบกับชุดไม้กอล์ฟก็คงจะเข้าใจได้ไม่ยาก ไม้ กอล์ฟเองยังขี่ไม่ได้ด้วยซ้ำไป หลังจากที่พบความแตกต่างระหว่างเครื่องออกกำลังกาย กับ เครื่องกีฬา อาจจะโดยการ ศึกษาจากสื่อ หรือ ได้ลองรถของเพื่อนที่ใช้จักรยานรุ่นสูงกว่า ทำให้หลายคนทีเดียวที่ต้องเสีย เงินเพิ่มขึ้นสำหรับจักรยานคันใหม่ หรือ อุปกรณ์ส่วนควบชิ้นใหม่ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม ( แน่นอน! ราคาต้องสูงขึ้นแน่ ) เนื่องจากได้ถลำใจและกายเข้ามาเล่นกับกีฬาประเภทนี้อย่าง ถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว อาจจะเสียเงินเปลี่ยนหรือupgradeอุปกรณ์ต่างๆไปเรื่อย จนอุปกรณ์ที่ติด มากับรถคันแรกได้ถูกเปลี่ยนไปหมด คงเหลือแต่เฟรมเดิมเท่านั้น พอมาถึงตอนนี้ถ้าสามารถ ย้อนเวลากลับหลังไปได้ หลายต่อหลายคนรวมทั้งผมเองก็คงจะยอมเสียเงินซื้อจักรยานดีๆไป เสียแต่แรกซะเลย จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียเงิน เสียเวลาซ้ำๆซากๆในการมาเปลี่ยนรถใหม่ หรือ อุปกรณ์ติดรถใหม่ในภายหลัง แต่เมื่อมาลองคิดดูอีกที ก็จะพบว่า น้อยคนนักที่จะกล้าทุ่มเงิน มากๆขนาดนั้นกับอุปกรณ์กีฬา ที่มี "2ล้อ" คล้ายๆหรือใกล้เคียงกับ "ยานพาหนะจ่ายตลาด" โดยที่ไม่เคยได้ลองสัมผัสมันกับตัวเองเสียก่อน บางคนก็มักจะบอกว่า เผื่อไม่ชอบ หรือเบื่อมัน จะได้ไม่ต้องเสียเงินไปปล่าวๆ ( ทั้งๆที่มีความสามารถจะจ่ายเงินมากๆขนาดนั้นได้โดยไม่ สะเทือนขนหน้าแข้งด้วยซ้ำไป , ทีเสียเงินไปกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์กลับทำได้โดยไม่รู้สึกรู้สา ) แล้วแบบนี้จะเข้าข่าย"เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย"หรือเปล่าหนอ? ในกลุ่มที่ขี่จักรยานด้วยกันมา หลายต่อหลายคนทีเดียว(รวมทั้งผมด้วย) ที่เริ่มต้นด้วย รถระดับล่างๆ แล้วต่อมาก็ต้องมาเสียเงินเปลี่ยนเป็นรถระดับสูงขึ้น อุปกรณ์ดีขึ้น ซึ่งไม่ควรจะ ไปคิดว่านั่นเป็นการอวดร่ำอวดรวยเที่ยวไปซื้อรถแพงๆมาประกวดประขันกัน เพราะแทบทุก คนที่ผมรู้จักล้วนแต่ซื้อเอามาเพื่อขี่ทั้งสิ้น(อาจจะมีคนบางคนบางประเภทที่ซื้อมาเก็บโชว์บ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนประเภทนั้น) ดูอย่างพวกเสี่ยหรือเถ้าแก่แถวจังหวัดที่ผมทำงานอยู่สิ ครับ ผมเองก็เคยคิดว่าพวกนี้คงจะซื้อเอามาอวดกันว่าของใครแพงกว่ากันแต่ในความเป็นจริง ก็พบว่าเสี่ยและเถ้าแก่เหล่านี้ ยังเอามันมาปั่นออกกำลังกาย แล้วบางคนซื้อมาเพียง 2 เดือนยัง ปั่นได้ระยะทางรวมกว่า 2,000 กม ซึ่งยังมากกว่าระยะทางในปีแรกของผมเสียอีก เราจึงไม่ควรจะคิดว่า คนส่วนใหญ่เขาจะซื้อมาเก็บ หรือเอามาอวดกัน เพราะจริงๆแล้ว นั่นเป็นคนส่วนน้อยเท่านั้น เชื่อผมเถอะครับว่าถ้าได้เข้ามาสัมผัสกับมันแล้วน้อยคนนักที่จะ เลิกมันไปเสียกลางคัน ขนาดบางคนล้มแขนหักไหปลาร้าหัก พอหมอบอกว่าเอาเฝือกออกแล้ว ปั่นได้ ยังกลับมาปั่นใหม่เลย ไม่เข็ดหรอกครับ ผมเองก็เคยเจ็บหนักๆ พอผ่าเอาเหล็กออกผม ก็ยังกลับมาซ่าส์อีกแถมหนักกว่าเก่าด้วย มันคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการหลงไหลได้ปลื้มในเสน่ห์ ของมันแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อได้มาร่วมปั่นกับกลุ่มคนที่มีรสนิยมเหมือนๆกันเกิดเป็นกลุ่ม เป็นก้อนเป็นหมู่ชนที่รักจักรยานเหมือนกัน ยิ่งจะทำให้เกิดแรงจูงใจให้อยากปั่นมันมากขึ้น ลองเข้ามาสัมผัสกับมันสิครับ แล้วคุณจะเข้าใจ คราวนี้ก็คงถึงบทของคุณแล้วหละครับ ที่จะต้องตัดสินใจเองว่าจะเลือกซื้อจักรยานแบบ ใด ซึ่งผมคงจะช่วยแนะนำให้ได้บ้างดังนี้
ลักษณะของร้านค้าที่จะแนะนำให้ซื้อจักรยานนั้น มีลักษณะดังต่อไปนี้
|